• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคเช้า) ประจำวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563

    26 กุมภาพันธ์ 2563 | Economic News



· สถานการณ์ไวรัสโคโรนา

ผู้ติดเชื้อ 80,427 ราย ขณะที่เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 2,712 ราย ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของสหรัฐฯ หรือ CDC กล่าวเตือนประชาชนเตรียมรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาภายในประเทศ ท่ามกลางการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง และมีการพบในอิหร่าน, อิตาลี และเกาหลีใต้

ดร. แนนซี เมสโซเนียร์ ผู้อำนวยการของ NCIRD แสดงความต้องการให้ประชาชนชาวสหรัฐฯพร้อมรับมือกับความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดขึ้นที่อาจทำให้มีการใช้ชีวิตยากลำบากขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสในเวลานี้

ทางด้าน นายอเล็ก อาซาร์ รัฐมนตรีกระทรวงสุขภาพและบริการของสหรัฐฯ เรียกร้องให้ชาวสหรัฐฯเตรียมรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนาในประเทศไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯหรือไม่ ซึ่งเราคาดหวังว่าการแพร่ระบาดในเวลานี้จะไม่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ

ด้านผู้อำนวยการ WHO กล่าวว่า ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสไปสู่ทั่วโลกได้ ซึ่งเรากำลังพิจารณาต่อการแพร่ระบาดในเวลานี้ถึงความแตกต่างในแต่ละพื้นที่และผลกระทบที่แตกต่างกันไป

- อิหร่านกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนานอกพื้นที่จีนมากที่สุดในเวลานี้ และดูจะส่งผลลุกลามไปทั่วตะวันออกกลาง โดยพบผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 16 ราย ขณะที่อัตราการติดเชื้ออยู่ที่ระดับ 95 ราย และมีการคาดการณ์กันว่าอาจเห็นจำนวนการติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่ารายงานล่าสุด

- วิกฤตไวรัสโคโรนาในอิตาลีดูจะแพร่กระจายไปทั่วทางตอนใต้ของประเทศ และขณะนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นที่ 11 ราย ขณะที่ผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแตะ 322 ราย จากระดับ 229 รายในวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งการแพร่กระจายในเขตเมืองเศรษฐกิจหลักอย่างเมืองลอมบราดี้ และเวเนโต้ ที่ดูจะได้รับผลกระทบทางการเงินจากมิลาน และเมืองท่องเที่ยวอย่างเวนิสด้วย

- ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อ (CDC) ประกาศเพิ่มคำแนะนำการเดินทางไปยังเกาหลีใต้สู่ระดับสูงสุด และเรียกร้องให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศดังกล่าวหากไม่จำเป็น ท่ามกลางการแพร่รระบาดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อใกล้ระดับ 1,000 ราย และมีการยืนยันการเสียชีวิตที่ 11 ราย จึงทำให้ทั่วโลกมีระดับการติดเชื้อพุ่งขึ้นทะลุ 80,000 ราย และผู้เสียชีวิตทั่วโลกใกล้แตะ 3,000 ราย

- ฝรั่งเศสเผชิญวิกฤตไวรัสโคโรนาด้วยเช่นกัน โดยล่าสุดพบผู้ติดเชื้อในประเทศ 2 ราย หนึ่งในนั้นคือคนที่เดินทางกลับจากอิตาลี ขณะที่อีกรายเป็นชาวจีนที่เดินทางกลับฝรั่งเศสหลังเดินทางเยือนจีน ทำให้ผู้ติดเชื้อในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นเป็น 14 ราย

- รายงานล่าสุดพบผู้ติดเชื้อในเยอรมนีเพิ่มอีก 1 รายที่ผลเลือดเป็นบวกหลังเดินทางกลับจากมิลาน

- กระทรวงสาธารณสุขไทย เผย พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มอีก 2 ราย เป็นคนไทยที่ไม่มีประวัติเดินทางไปจีน แต่มีประวัติใกล้ชิดกับคนที่มาจากต่างประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยมีผู้ป่วยโควิด-19 สะสม 37 ราย ขณะที่ประเทศไทยยังอยู่ในการระบาดระยะที่สอง ซึ่งเป็นการระบาดที่พบต้นตอว่าเชื้อไวรัสมาจากต่างประเทศ

- ซานฟรานซิสโกประกาศภาวะฉุกเฉินภายในประเทศ แม้ว่าจะไม่มีรายงานยืนยันการพบผู้ติดเชื้อหรือเสียชีวิตใดๆ

- สถานการณ์ในตะวันออกกลางน่าเป็นห่วง หลังพบผู้ติดเชื้อในอิรัก, คูเวต, อัฟกานิสถาน, บาห์เรน และโอมน ที่ต่างก็พบผู้ติดเชื้อรายแรก ซึ่งประเทศเหล่านี้เป็นประเทศที่มีการเชื่อมต่อกับอิหร่านทั้งหมด ส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้นว่าไวรัสโคโรนาจะแพร่ระบาดทั่วทุกภูมิภาคในตะวันออกกลาง และการคว่ำบาตรใดๆในประเทศจะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ด้วย

- นายแลรี่ คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แสดงความเป็นกังวลต่อการระบาดของไวรัสโคโรนาที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจ หลังจากที่ CDC เผยว่ามีแนวโน้มที่การระบาดของไวรัสในเวลานี้จะเข้ามายังสหรัฐฯได้ พร้อมให้ประชาชนเตรียมรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น

- เจ้าหน้าที่จาก CDC กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไวรัสในจีนดูจะกลายเป็นการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ก่อนที่จะเริ่มต้นกระจายสู่พื้นที่ในสหรัฐฯ และนี่ไม่ใช่คำถามสำหรับมันจะเกิดขึ้นอย่างไร แต่สิ่งที่ต้องตระหนักถึงคือจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และประชาชนในประเทศจะได้รับผลเช่นไร เนื่องจากเชื้อไวรัสดังกล่าวค่อนข้างมีการพัฒนาตัวและมีความซับซ้อน

อย่างไรก็ดี ผู้อำนวยการด้านสุขภาพของ NIAID ของสหรัฐฯ มีการเปิดเผยถึงความเป็นไปได้ที่จะทดสอบเกี่ยวกับวัคซีนรักษาไวรัสโคโรนาที่ถูกคาดว่าจะเริ่มต้นในอีก 6 สัปดาห์ โดยเป็นการทดสอบกับมนุษย์ ซึ่งทุกฝ่ายต่างคาดหวังว่าจะใช้ได้ผลและไม่พบความบกพร่องใดๆ

- ทำเนียบขาวเรียกร้องให้สภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณ 1.25 พันล้านเหรียญในการพัฒนาวัคซีนในการรักษาไวรัสดังกล่าว ท่ามกลางหน่วยงานด้านสุขภาพที่ทำงานร่วมกันหลายฝ่ายในการพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ยับยั้งการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น


· ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อช่วยสนับสนุนทิศทางเศรษฐกิจปีนี้จากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง 0.401% ที่ 98.939 จุด หลังไปทำสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปีใกล้แนว 100 จุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีที่ทำ All-Time Low ก็เป็ฯอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันค่าเงินดอลลาร์ รวมทั้งดัชนีสหรัฐฯที่ปรับตัวลงเกือบ 2% เมื่อคืนนี้

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง 0.28% ที่ 1.088 ดอลลาร์/ยูโร ท่ามกลางความผันผวนของดอลลาร์ ขณะที่เงินเยนแข็งค่าต่อ 0.61% ที่ 110.04 เยน/ดอลลาร์ ด้านเงินหยวนอ่อนค่าขึ้น 0.11% ที่ 7.028 หยวน/ดอลลาร์

ทั้งนี้ กระแสคาดการณ์เกี่ยวกับเฟดลดอกเบี้ยดูจะมีโอกาสมากขึ้น โดยเครื่องมือ Fed Watch ของ CME Group สะท้อนโอกาส 78.3% ที่เฟดน่าจะทำการลดดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 0.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย.นี้ และมีโอกาส 4.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ยสู่กรอบ 1.5 – 1.75% ในช่วงเดือนธ.ค.

· นายริชาร์ด แคลริด้า รองประธานเฟด กล่าวถึงการจะจับตาไปยังสถานการณ์ตึงเครียดของไวรัสโคโรนาที่เกิดขึ้นว่าจำเป็นที่เฟดต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินหรือไม่ แต่ในเวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะเกิดผลกระทบต่อสหรัฐฯมากหรือน้อยเพียงใด ที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

· นายโรเบิร์ต เคฟแลนด์ ประธานเฟดสาขาดัลลัส มีมุมมองว่าการระบาดของไวรัสโคโรนายังไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะโน้มน้าวให้เฟดพิจารณาถึงความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงแต่อย่างใด

ตามรายงาน นายเคฟแลนด์มองว่า “ยังเร็วเกินไป” ที่จะตัดสินว่าการระบาดของไวรัสจะส่งกระทบต่อนโยบายการเงินอย่างไร ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ก่อนที่จะสามารถตัดสินได้

· อังกฤษหลัง Brexit เริ่มเสาะหาบทบาทใหม่ในการเมืองโลก

อังกฤษจะเริ่มกระบวนการกำหนดบทบาทของประเทศภายในระบบการเมืองของโลก โดยเมื่อวานนี้รัฐบาลอังกฤษประกาศจะทบทวนนโยบายด้านการต่างประเทศ กลาโหม ความมั่นคง และการช่วยเหลือต่างประเทศใหม่อีกครั้ง

ทางอังกฤษได้เข้าสู่ฐานะ Brexit เป็นที่เรียบร้อยนับตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. หลังจากที่เป็นสมาชิกของอียูมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ แต่อังกฤษยังคงถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งและปฏิบัติภายใต้กฏเกณฑ์ของอียู จนกว่าอังกฤษจะสามารถเจรจาข้อตกลงการค้ากับอียูได้สำเร็จภายในสิ้นปี 2020

· น้ำมันดิบปรับตัวลงเกือบ 3% หรือปรับลงต่อเนื่อง 3 วันทำการ ท่ามกลางการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นของไวรัสโคโรนา และรัฐบาลสหรัฐฯมีการกล่าวเตือนประชาชนให้เตรียมรับมือ จึงทำให้เกิดแรงเทขายเข้ามาในตลาดน้ำมันเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงทำต่ำสุดตั้งแต่ช่วงต้นเดืนอธ.ค.

น้ำมันดิบ Brent ปรับลง 1.35 เหรียญ หรือ -2.4% ที่ 54.95 เหรียญ/บาร์เรล ด้าน WTI ปิดลง 1.53 เหรียญ หรือ -3% ที่ 49.9 เหรียญ



บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com