• สรุปข่าวเศรษฐกิจ (ภาคค่ำ) ประจำวันที่ 14 มกราคม 2563

    14 มกราคม 2563 | Economic News

· ค่าเงินเยนอ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ขณะที่ค่าเงินหยวนแข็งค่าทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. หลังกระทรวงการคลังสหรัฐฯได้ประกาศนำชื่อประเทศจีนออกจากบัญชีประเทศที่ต้องสงสัยว่าจงใจบิดเบือนค่าเงิน

นักวิเคราะห์จากธนาคาร MUFG ระบุว่า การประกาศของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยิ่งตอกย้ำถึงมุมมองเชิงบอกของตลาดที่มีก่อนหน้าการลงนามในข้อตกลงเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนเข้าไปอีก

รายงานจากแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า การตัดสินใจลบชื่อจีนออกจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศจีน แต่ถือว่าเป็นการแสดงเจตจำนงอันดีของสหรัฐฯให้ทางการจีนเห็น

ค่าเงินเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์อ่อนค่าถึง 0.25% แถวระดับ 110.22 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดของเดือน พ.ค. ปีก่อน ก่อนจะเริ่มกลับมาทรงตัวแถว 110.04 เยน/ดอลลาร์ เนื่องจากเผชิญแนวต้านสำคัญทางเทคนิคที่ระดับ 110.22 เยน/ดอลลาร์ ตามสัญญาณจากเส้น Bollinger band

ค่าเงินหยวนในประเทศแข็งค่า 0.4% สู่ระดับ 6.8731 หยวน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. ส่วนค่าเงินหยวนนอกประเทศทรงตัวใกล้ระดับแข็งค่าที่สุดในรอบ 6 เดือน แถว 6.8725 หยวน/ดอลลาร์



· ตลาดที่กำลังอยู่ในภาวะ Risk-on จึงช่วยหนุนให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าทำระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์แถว 1.10855 ดอลลาร์/ยูโร ก่อนจะเริ่มทรงตัวแถว 1.1137 ดอลลาร์/ยูโร



· ด้านค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงอีก หลังข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษประกาศออกมาพบว่า การเติบโตของเศรษฐกิจในเดือน พ.ย. อ่อนแอที่สุดในรอบกว่า 7 ปี ส่งผลให้เกิดกระแสคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย โดยมีโอกาสมากถึง 50% ในการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษวันที่ 30 ม.ค. นี้

โดยค่าเงินปอนด์อ่อนค่าทำระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ 1.2961 ดอลลาร์/ปอนด์ ก่อนจะเริ่มทรงตัวแถว 1.2990 ดอลลาร์/ปอนด์ ในภาพรวมตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินปอนด์ถือเป็นค่าเงินที่มีผลประกอบการย่ำแย่ที่สุด โดยปรับอ่อนค่าไปแล้วกว่า 2.0%



· แหล่งข่าวของ Reuters ระบุว่า ข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่จะได้รับการลงนาม กล่าวถึงการที่จีนจะเพิ่มปริมาณการเข้าซื้อสินค้าอุตสาหกรรมของสหรัฐฯเป็นมูลค่า 8 หมื่นล้านเหรียญ ภายในระยะเวลา 2 ปี รวมถึงสินค้ากลุ่มพลังงานเป็นมูลค่าอีก 5 หมื่นล้านเหรียญ

นอกจากนี้ ภาคการบริการของสหรัฐฯก็จะได้รับการเข้าซื้อจีนเป็นมูลค่าอีก 3.5 หมื่นล้านเหรียญ ภายในระยะเวลา 2 ปีเช่นกัน

จากรายงานก่อนหน้านี้ ได้ระบุว่าจีนจะเข้าซื้อสินค้าการเกษตรจากสหรัฐฯเป็นมูลค่า 3.2 หมื่นล้านเหรียญ ภายในระยะเวลา 2 ปี หรือคิดเป็นปีละประมาณ 1.6 หมื่นล้านเหรียญ

ตัวเลขดังกล่าวถูกคาดการณ์ว่าจะได้รับการเปิดเผยภายหลังการลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายหลิว เฮ่อ รองนายกรัฐมนตรีจีน ภายในวันพุธที่จะถึงนี้



· อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำประธานาธิบดีโอบามา มีมุมมองว่า ท่ามกลางการชุมนุมประท้วงต่อต้านระบบการปกครองของอิหร่านจากประชาชนนับพัน ที่ไม่พอใจหลังทางการออกมายอมรับว่าเป็นผู้ยิงเครื่องบินโดยสารตก ส่งผลให้ระบบการปกครองของอิหร่านกำลังอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการล่มสลายมากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาในปี 1979

สถานการณ์การชุมนุมประท้วงล่าสุด คาดว่ามีประชาชนนับพันออกมาเดินขบวน และความตึงเครียดขยายความรุนแรงมากขึ้น จนถึงขั้นมีการใช้กระสุนจริงและแก๊สน้ำตาจากกองกำลังรักษาความปลอดภัยของอิหร่าน

นอกจากนี้ อิหร่านกำลังเผชิญแรงกดดันจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยสหรัฐฯ จึงยิ่งสร้างความเปราะบางให้กับระบบการปกครอง

อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาฯมีความกังวลว่า รัฐบาลอิหร่านอาจเผชิญแรงกดดันมากเกินไปจนตัดสินใจเพิ่มระดับความตึงเครียด และผู้ที่จะตกอยู่ในอันตรายก็จะเป็นประชาชนของอิหร่านเสียเอง



· ธนาคาร UBS คาดการณ์ เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในปี 2020 นี้ ถึง 3 ครั้ง ซึ่งเป็นคาดการณ์ที่แตกต่างกับกระแสส่วนใหญ่ในตลาด ที่คาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยหรือปรับลงเพียง 1 ครั้งตลอดปีเท่านั้น

โดยทางธนาคารให้เหตุผลว่า การขึ้นภาษีตอบโต้กันในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน จะกดดันให้อัตราเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯลดลงเหลือ 0.5% ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 แต่ผลกระทบของนโยบายภาษีจะคงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น และเศรษฐกิจสหรัฐฯจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยแต่อย่างใด

ทางด้าน CME FedWatch tool ยังคงคาดการณ์โอกาส 50% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงเดือน ก.ย. ส่วนในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. โอกาสดังกล่าวลดลงมาที่ 47% และ 40.5% ตามลำดับ



· รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังวางแผนที่จะเดินทางเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการครั้งแรก ภายในเดือน ก.พ. โดยรัฐบาลของทั้ง 2 ฝ่ายกำลังเจรจาเพื่อกำหนดวันที่ที่แน่นอนให้กับการเดินทางของนายทรัมป์



· ยอดส่งออกของจีนในเดือน ธ.ค. ประกาศออกมาเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยเพิ่มขึ้น 7.6% จากปีก่อน เดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3.2% เทียบกับยอดเดือน พ.ย. ที่ออกมาลดลง 1.3% ซึ่งเป็นสัญญาณถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระดับปานกลาง ก่อนหน้าการลงนามในข้อตกลงเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนในสัปดาห์นี้

ยอดนำเข้าก็เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดเช่นกัน โดยยอดนำเข้าในเดือน ธ.ค. ออกมาเพิ่มขึ้น 16.3% จากปีก่อน โดยมีแรงหนุนส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าโภคภันฑ์ที่สูงขึ้น ขณะที่คาดการณ์เดิมอยู่ที่ 9.6% เทียบยอดเดือน พ.ย. ที่ 0.5%


· นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เรียกร้องให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พิจารณาแทนที่ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน ด้วยข้อตกลงในแบบฉบับของนายทรัมป์เอง โดยระบุว่าหากสหรัฐฯต้องการจะยกเลิกข้อตกลงฉบับเดิม ก็ควรจะแทนที่มันด้วยข้อตกลงฉบับใหม่ที่เป็นข้อตกลงในแบบของทรัมป์เอง ซึ่งน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

พร้อมระบุว่าอังกฤษไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและอิหร่านจนถึงขั้นต้องก่อสงคราม


· ราคาน้ำมันดิบทรงตัว หลังจากปรับตัวลงในช่วงก่อนหน้านี้ เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับการลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐฯและจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ รวมทั้งกระแสคาดการณ์การปรับลดลงของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นถูกจำกัด จากผลกระทบความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ผ่อนคลายลง โดยทั้งอิหร่านและสหรัฐฯได้ลดระดับความตึงเครียด หลังจากการปะทะกันในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Brent เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ ที่ระดับ 64.22 เหรียญ/บาร์เรล ทางด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 4 เซนต์ ที่ระดับ 58.04 เหรียญ/บาร์เรล


· ประธานสถาบัน JBC Energy มีมุมมองว่า อาจเห็นราคาน้ำมันร่วงลงมาถึงระดับ 40 เหรียญ/บาร์เรล หากระบบการปกครองของอิหร่านพังทลาย หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของผู้นำสูงสุด

โดยต้องคำนึงว่า อิหร่านมีความสามารถมากพอที่จะเพิ่มปริมาณน้ำมันเข้าสู่ตลาดในระยะเวลาสั้นๆได้มากถึง 1.5 ล้านบาร์เรล หรืออาจถึง 2 ล้านบาร์เรล ได้ ซึ่งนับว่าเป็นปริมาณน้ำมันที่มหาศาล

ซึ่งภาวะดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นแรงหนุนต่อราคาน้ำมัน Brent ในภาพรวม เพราะปัจจุบันกำลังมีปริมาณน้ำมันที่กำลังรอเข้าสู่ตลาดเป็นปริมาณมากถึง 6 ล้านบาร์เรล และ 2 ล้านบาร์เรลในจำนวนดังกล่าว มาจากอิหร่าน ดังนั้นปัจจัยเดียวที่จะเป็นแรงหนุนให้กับราคาน้ำมันได้ คือการเกิดการประทะกันทางทหารเท่านั้น

บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด
40,42,44 ถนนทรัพย์สิน แขวงวังบูรพาภิรมย์เขตพระนคร กรุงเทพ 10200
โทรศัพท์ 0 2770 7777 โทรสาร 0 2623 9366 E-mail: support@mtsgoldgroup.com